บริษัท ดีแพลนทัวร์ จำกัด
083-751-6663 088-646-6637    096-926-1949    096-896-9386 dplantour@gmail.com   @dplantour

By

dplantour
เทมปุระ อาหารญี่ปุ่นยอดนิยม ที่มาของเทมปุระ                                                                                 เท็มปูรายาไต (ซุ้มขายเท็มปูระ) ของยุคเอโดะ มิชชันนารีโปรตุเกสนำสูตรการทำเท็มปูระนำเข้ามายังญี่ปุ่นที่เมืองนางาซากิคณะเยซูอิต เมื่อ ค.ศ. 1549 ซึ่งเป็นยุคเดียวกับที่อาหารญี่ปุ่นเช่น ปังโกะ หรือ ทงกัตสึ ได้รับการคิดค้นโดยชาวโปรตุเกส นอกจากนี้ยังเป็นที่กล่าวว่า โทกูงาวะ อิเอยาซุ โชกุนคนแรกแห่งเอโดะ โปรดปรานเท็มปูระเป็นอย่างมาก แต่เดิม ตั้งแต่ยุคเซ็งโงกุ เท็มปูระเป็นอาหารที่นิยมรับประทานในหมู่ผู้สัญจรริมถนนที่เรียกว่า “ยาไต”...
Read More
เทศกาลกิออนมัตสุริ Gion Matsuri เทศกาลกิออนมัตสุริ(Gion Matsuri) นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของญี่ปุ่นเลยนะคะ ซึ่งเทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นโดยศาลเจ้ายาซากะ(Yasaka Shrine)อันแสนจะโด่งดังแห่งเมืองเกียวโต(Kyoto)ที่จะจัดเป็นประจำในช่วงวันที่ 1 – 31 กรกฎาคมของทุกปีนั่นเองค่ะ บอกได้คำเดียวว่าเป็นเทศกาลที่ทำให้บรรยากาศภายในเมืองคึกคักกันถึงขีดสุด เพราะมีกิจกรรมทั้งหลากหลายและเต็มไปด้วยสีสัน มีทั้งขบวนแห่เกี้ยว(Yamaboko Junko)ในวันที่ 17 ที่มีความงดงามตระการตามากเป็นพิเศษ ความสนุกสนานไปกับงานเฉลิมฉลองของขบวนโยอิยามะ(Yoiyama)ในตอนเย็น รวมทั้งวันที่ 24 กรกฎาคมยังจะมีขบวนแห่ครั้งที่สองซึ่งเล็กกว่าขบวนแรกแต่ความสวยนี่ก็กินกันไม่ลงเชียว ถ้าจะพูดถึงภาพรวมของกิจกรรมหลักของเทศกาลกิออนมัตสุรินั้นไฮไลท์ของการจัดกิจกรรมจะเกิดขึ้นในย่านกิออนฝั่งตรงข้ามแม่น้ำคาโม(Kamo River) ในช่วง 3 วันของการแห่ขบวน จะเป็นการแห่ยมราชยามะ(yama) และโฮโกะ(hoko) ตั้งแต่ครึ่งกิโลเมตรของสี่แยกถนน Karasuma และถนน Shijo ในช่วงตั้งแต่เวลา 18:00-23:00 จะปิดการจารจรเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับจัดซุ้มจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม และจัดกิจกรรม ได้แก่ วันที่ 16 ก.ค. เรียกว่าโยอิยามะ(Yoiyama) วันที่ 15 ก.ค. เรียกว่าโยอิโยอิยามะ(Yoiyoiyama) และวันที่ 14 ก.ค. เรียกว่าโยอิโยอิโยอิยามะ จนถึงวันที่ 24 กรกฎาคม เป็นขบวนแห่เล็กๆโดยไม่ปิดถนน
Read More
ต้นกำเนิด     คำว่า ซาชิมิ หมายถึง “ร่างกายที่ถูกเจาะ” กล่าวคือ 刺身 = ซาชิมิ ซึ่ง 刺し = ซาชิ (เจาะ, ทิ่มแทง) และ 身 = มิ (ร่างกาย เนื้อสัตว์) คำนี้มีใช้ตั้งแต่ยุคมูโรมาจิ และเป็นไปได้ว่าได้รับการบัญญัติขึ้นเมื่อคำว่า 切る = คิรุ (ตัด) ซึ่งเป็นขั้นตอนการทำอาหารถูกมองว่าอัปมงคลเกินไปสำหรับบุคคลที่ไม่ใช่ซามูไร คำนี้อาจแผลงมาจากการฝึกแทงหางและครีบปลาให้เป็นแผ่นบาง ๆ ในการระบุชนิดของปลาที่กำลังกิน ชื่อนี้มีความเป็นไปได้อีกอย่างว่ามาจากการจับปลาด้วยวิธีดั้งเดิม โดยปลา “ระดับซาชิมิ” จะถูกจับโดยใช้เบ็ดมือ ทันทีที่ปลาถูกจับได้ สมองของมันจะถูกแทงด้วยของมีคม จากนั้นปลาจะถูกนำไปวางบนน้ำแข็ง การใช้ของมีคมนี้เรียกว่า อิเกจิเมะ (Ike jime) และการที่ปลาตายทันทีหมายความว่าเนื้อปลาประกอบด้วยกรดแล็กติกปริมาณเล็กน้อย แสดงว่าปลาจะยังสดหากวางบนน้ำแข็งเป็นเวลา 10 วัน โดยไม่เปลี่ยนเป็นสีขาวหรือเสีย ชาวต่างชาติ (ที่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น) หลายคนใช้คำว่าซาชิมิและซูชิในความหมายเดียวกัน แต่อาหารทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกัน ซูชิคืออาหารจานใด ๆ ที่ทำด้วยข้าวญี่ปุ่นผสมน้ำส้มสายชู และแม้ว่าปลาดิบหรือซาชิมิจะเป็นวัตถุดิบอย่างหนึ่งของซูชิดั้งเดิม แต่ซูชิหลายชนิดก็โปะหน้าด้วยอาหารทะเลที่ปรุงสุกแล้ว และอีกหลายชนิดก็ไม่ได้โปะหน้าด้วยอาหารทะเลเลย
Read More
พิธีชงชา  พิธีชงชา หรือที่ญี่ปุ่นเรียกว่าซะโด (Sadou) หรือ ฉะโด (Chadou) แปลว่าวิถีแห่งชา เป็นพิธีกรรมที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของญี่ปุ่นที่แฝงให้เห็นวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นที่มีความเรียบง่าย ประณีต และพิถีพิถัน ชาที่นำมาใช้ชงนั้นเป็นชาบดจนเป็นผงละเอียดเรียกว่ามัทฉะ (Matcha) ขั้นตอนการชงคือตักมัทฉะใส่ถ้วย ตักน้ำร้อนจากหม้อต้มใส่ลงไป ใช้ไม้คนจนชาเป็นฟองก็เป็นอันเสร็จ จากนั้นก็ยกถ้วยชาเสิร์ฟให้กับแขก ซึ่งมักจะดื่มคู่กับขนมหวานชิ้นเล็กๆ เพื่อตัดความขมของชา     ประวัติความเป็นมา การดื่มชาเป็นวัฒนธรรมจากประเทศจีนที่เผยแพร่เข้ามาในญี่ปุ่น โดยพระสงฆ์เป็นผู้มีบทบาทสำคัญแล้วนำมาดัดแปลงให้เข้ากับวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่น ในอดีตการดื่มชาเป็นที่นิยมกันในหมู่นักรบ ขุนนาง ตลอดจนพ่อค้าชาวเมืองที่ร่ำรวยเท่านั้น แต่ต่อมาท่าน เซ็น โนะ ริคิว (Sen no Rikyu) ได้ทำให้พิธีชงชากลายเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ และมีแบบแผนอย่างในปัจจุบัน โดยตัดรูปแบบการเลี้ยงชาที่ฟุ่มเฟือยออกไป เน้นความเรียบง่าย จริงใจ เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ด้วยจิตใจที่สงบและบริสุทธิ์ โดยมีหลักของศาสนาพุทธนิกายเซน (Zen) เข้ามาด้วย อุปกรณ์พื้นฐานสำหรับพิธีชงชา คะมะ (Kama) กาน้ำสำหรับใช้ต้มน้ำใส่ชา นัทสึเมะ (Natsume) โถสำหรับใส่ผงชามัทฉะ ชะอิเระ (Chaire) โถใส่ชา ชะฉะคุ...
Read More
เอะมะเป็นเครื่องรางอย่างหนึ่งของญี่ปุ่น แต่เหตุใดถึงได้แปลว่าภาพม้าหรือภาพของม้า ? คำตอบก็คือ ในสมัยก่อนนั้นคนญี่ปุ่นที่จะมาขอพรจากเทพเจ้าที่ศาลเจ้าต่างๆนั้นจะนิยมนำม้าที่มีสีขาวเพื่อเอามาถวายให้เทพเจ้าที่สถิตอยู่ เพราะความเชื่อของคนที่นี่เชื่อกันว่าม้านั้นเป็นสัตว์ที่มีความพิเศษตรงที่ใช้เป็นสื่อระหว่างคนกับเทพเจ้าได้นั่นเอง(คงคล้ายๆกับสุนัขจิ้งจอก) แต่ว่าในภายหลังนั้นประเพณีหรือความเชื่อเรื่องที่ว่าจะต้องนำม้าสีขาวมาถวายก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นการถวายม้าที่ทำมาจากไม้หรือการวาดรูปม้าลงบนไม้แทน ท้ายที่สุดก็มาเป็นการเขียนคำอธิษฐานลงไปอย่างที่เราเห็นกันในทุกวันนี้นั่นเองครับ คำว่า “เอะมะ” นั้นก็เป็นการผสมกันระหว่างกคำว่า “เอะ”( 絵) ที่แปลว่า รูปภาพ และ “มะ” (馬) ซึ่งก็แปลว่า ม้า ดังนั้น เมื่อเอาทั้ง 2 คำมารวมกันจึงแปลว่า “ภาพม้า” นั่นเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าแต่จะมีแต่ม้าเท่านั้น เพราะในภายหลังก็มีการนำเอาภาพต่างๆ วาดลงบนแผ่นไม้ เช่น บทสวดมนต์ รูปนักษัตรราศีต่างๆ หรือแม้แต่รูปบุคคล หรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องเป็นตำนวนหรือเรื่องเล่าของศาลเจ้านั้นๆ ซึ่งเอะมะ นั้นก็ไม่ใช่แต่ว่าจะเป็นของเพื่อใช้เขียนคำอธิษฐานเท่านั้น คนที่ชอบสะสมของเก่าๆแล้ว เอะมะ ก็เป็นของที่มีมูลค่ามากเช่นกัน เพราะบางภาพก็ถูกวาดขึ้นโดยศิลปินที่มีชื่อเสียง บางภาพก็เป็นเรื่องเล่าเก่าแก่และก็ยังมีหลายขนาดอีกด้วย นักท่องเที่ยวที่มาใช้เอะมะเพื่อขอพรนั้นก็มีจุดประสงค์หลากหลายต่างกันไป เช่น บางคนก็ขอให้การงาน การเรียนประสบความสำเร็จ บางคนขอเรื่องความรักหรือบางคนก็ขอให้ตนเองและครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งก็หาซื้อได้ตามศาลเจ้า ราคาส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่ประมาณ 500 เยน ครับ ใครมาเที่ยวญี่ปุ่นก็ไม่ควรจะพลาดกับการใช้เอะมะกันนะ
Read More
1 18 19 20 21