งาน World Expo มีประวัติยาวนานเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1851 จัดงานครั้งแรกที่ลอนดอน มีจุดประสงค์เพื่อแสดงผลงาน และนวัตกรรมจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก งานนี้เปรียบเสมือนเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และเทคโนโลยี ที่ได้พัฒนาไปตามยุคสมัย จนกลายเป็นงานสำคัญในการนำเสนอความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และสังคม ด้านในจัดแสดงทั้งหมด 35 pavilions โดยแต่ละปีก็จะมีธีมของงานที่แตกต่างกันไป โดยในปีนี้จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2025 ถึง วันที่ 13 ตุลาคม 2025 จัดขึ้นที่จัดขึ้นที่เกาะยูเมะชิมะ ซึ่งเป็นเกาะเทียมเกิดจากการถมทะเลในอ่าวโอซาก้า
Saudi Arabia Pavilion
ออกแบบโดย Foster + Partners ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมของหมู่บ้านดั้งเดิมในราชอาณาจักร ด้านในแบ่งเป็นกลุ่มอาคารทรงเหลี่ยมหลายหลัง มีลานด้านหน้าปลูกต้นไม้ เสริมด้วยการติดตั้งระบบภาพและเสียงที่พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือกับสตูดิโอออกแบบ 59 Productions และ Squint/Opera
Japan Pavilion
บริษัท Nikken Sekkei จากโตเกียว เป็นผู้นำในการออกแบบสถาปัตยกรรม และได้ Oki Sato สถาปนิกจากสตูดิโอ nendo มารับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการฝ่ายผลิต นำเสนอภายใต้แนวคิด ‘Between Lives’ โดยมีเนื้อหาเอกเป็นการผลิตพลังงานก๊าซชีวภาพโดยใช้ขยะอาหารจากงาน Expo และเทคโนโลยีรีไซเคิลคาร์บอนล้ำสมัยของญี่ปุ่น เพื่อสร้างวงจรแบบวนซ้ำ และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เยี่ยมชมรับเอาพฤติกรรมที่ยั่งยืนเพื่อสังคมที่ยั่งยืน
Kuwait Pavilion
ออกแบบหลังคาโค้งยาวคล้ายปีกนก เป็นทางเข้า ‘Visionary Lighthouse’ ออกแบบโดย LAVA (Laboratory for Visionary Architecture) สื่อถึงประเทศที่มีชื่อเสียงด้าน hospitality ผู้เข้าชมจะได้สัมผัสประสบการณ์นิทรรศการแบบอิมเมอร์ซีฟที่กล่าวถึงเรื่องราวของคูเวตตั้งแต่อดีตไปจนถึงอนาคต เฉลิมฉลองจิตวิญญาณของผู้คน เทิดทูนผู้มีวิสัยทัศน์ และจุดประกายแรงบันดาลใจให้กับอนาคต
Netherlands Pavilion
แนวคิดหลักของประเทศเนเธอร์แลนด์ในงาน Expo 2025 คือ ผืนแผ่นเดียวกัน ศาลาเนเธอร์แลนด์มุ่งหวังเป็นพื้นที่เปิดกว้างให้ผู้คนได้พบปะ เรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่กัน เป็นสถานที่ที่เราสามารถรวมพลังเพื่อสร้างสังคมที่แข็งแรงและมีความสุข ส่งมอบความหวังสู่อนาคตที่ยั่งยืน การออกแบบศาลาเนเธอร์แลนด์จึงนำเสนอ ‘ดวงอาทิตย์ที่สร้างโดยมนุษย์’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของรุ่งอรุณใหม่ อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือและพลังงานสะอาด ไร้ขีดจำกัด และเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ซึ่งทั้งหมดดูแลและรับผิดชอบงานโดยสตูดิโอสถาปัตยกรรมดัตช์ RAU Architects
Italy Pavilion
นำเสนอแนวคิดศิลปะฟื้นชีวิต (Art regenerates Life) ผ่านงานออกแบบร่วมสมัยโดย Mario Cucinella Architects ตีความ นครในอุดมคติในมุมมองใหม่ พื้นที่ของศาลาถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ได้แก่ โรงละคร, เมืองในอุดมคติ และสวนอิตาลี โดยแต่ละศาลา นำเสนอศิลปะในความหมายกว้าง ตั้งแต่งานหัตถศิลป์ แฟชั่น ดีไซน์ ไปจนถึงวิศวกรรม นวัตกรรม และงานวิจัย เพื่อแสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีล้ำสมัยสามารถอยู่ร่วมกับรากฐานของวัฒนธรรมได้อย่างกลมกลืน
Germany Pavilion
แนวคิดหลักของศาลาเยอรมนีคือเศรษฐกิจหมุนเวียน และใช้ชื่อว่า Wa! Germany คำว่า Wa ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายสามประการ คือ วงกลม, ความสามัคคี และว้าว ศาลาเยอรมนี ถูกออกแบบให้เป็นนิทรรศการมีชีวิต ด้วยการก่อสร้างอย่างยั่งยืนและหมุนเวียน โดยผสาน สถาปัตยกรรม ภูมิทัศน์ และการจัดแสดง เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมนำเสนอแนวทางสู่อนาคตแบบหมุนเวียน ผ่านประสบการณ์ที่แปลกใหม่และไม่เหมือนใครสำหรับผู้เข้าชม
Thailand Pavilion
‘ภูมิพิมาน ดินแดนแห่งภูมิคุ้มกัน’ คือชื่อธีมของศาลาไทยในงาน Expo 2025 นำเสนอภาพของประเทศไทยในฐานะดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ ที่หล่อเลี้ยงผู้คนให้มีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง พร้อมเชื่อมต่อชาวโลกด้วยภูมิปัญญา วิถีชีวิต และทรัพยากรที่ยั่งยืน ออกแบบโดย A49 ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิด ‘รอยยิ้ม’ ตัวศาลาออกแบบให้กลมกลืนทั้งสุนทรียะและอัตลักษณ์ไทย โดยนำองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมไทยโบราณ เช่น จอมแห หลังคาแบบไทย ลายจักสาน และการย่อมุมไม้ มาใช้สื่อสาร
China Pavilion
ศาลาประเทศจีนมุ่งเน้นไปที่การสร้าง “ชุมชนแห่งชีวิต” ที่ร่วมมือกันระหว่างมนุษย์ และธรรมชาติ การออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากตำราไม้ไผ่ และลวดลายอักษรจีนแบบดั้งเดิม สื่อถึงปรัชญาที่ว่ามนุษย์ต้องเคารพธรรมชาติ อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่นำเสนอช่วยให้เห็นภาพอนาคตของสังคมสีเขียวที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการพัฒนาอย่างยั่งยืน
Hungary Pavilion
ศาลาฮังการีสร้างสะพานเชื่อมโยงอดีตและอนาคตผ่านรากฐานแห่งขนบธรรมเนียม แนวคิดหลักของนิทรรศการในศาลาจึงเป็นการนำเสนอแก่นแท้ของวัฒนธรรม นั่นคือ ‘ดนตรีพื้นบ้าน’ โดย Hungary Pavilion จะมีภูมิทัศน์คล้ายคลึงกับทุ่งหญ้าฮังการี โครงสร้างป่าไม้อันเป็นเอกลักษณ์ ส่วนโดมไม้ทำหน้าที่เป็นที่ตั้งของโรงละคร มอบประสบการณ์หลายประสาทสัมผัสให้กับผู้เข้าชม นอกเหนือจากนิทรรศการ ตัวศาลายังทำหน้าที่เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนทางธุรกิจและวัฒนธรรม โดยชั้นสองจะใช้สำหรับการประชุมและสร้างเครือข่าย รวมถึง Bistro, Wine Bar และร้านขายของที่ระลึก